วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

<iframe src="https://docs.google.com/forms/d/1fHzxeSODZ-Xjbb4AVwTY3avaW8-8la1jQiCrpWvokdc/viewform?embedded=true" width="760" height="500" frameborder="0" marginheight="0" marginwidth="0">กำลังโหลด...</iframe>
<iframe src="https://docs.google.com/forms/d/1JxL4QeavKXH2I6K0lIm91BoHesZ6kKfoxwv7UFvW71Y/viewform?embedded=true" width="760" height="500" frameborder="0" marginheight="0" marginwidth="0">กำลังโหลด...</iframe>

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การพัฒนาเด็ก Ld


เด็กพิเศษ หรือเรียกเต็มๆ ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือกลุ่มเด็กที่ไม่สามารถพัฒนาความสามารถได้เต็มตามศักยภาพที่มีอยู่ได้ด้วยวิธีการปกติตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูตามปกติ หรือการเรียนการสอนตามปกติทั่วไป เนื่องจากข้อจำกัดบางประการที่มีอยู่ในตัวเด็ก ทางด้านร่างกาย สติปัญญา พฤติกรรม อารมณ์ หรือสัมพันธภาพทางสังคม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวิธีการพิเศษ เพิ่มเติมจากการเรียนรู้ตามธรรมชาติของเด็ก เพื่อช่วยให้เด็กมีศักยภาพเต็มตามที่มีอยู่ได้
มีหลายมุมมองทางความคิดเกี่ยวกับแนวทางการดูแลเด็กพิเศษ ซึ่งไม่มีผิด ไม่มีถูก เพียงแต่ต้องมีการทบทวนความคิดอย่างเข้าใจ และพัฒนามุมมองของเราเองให้ถูกต้องตามที่เห็นว่าควรเป็น
บางคนมองว่า อย่าไปบังคับเด็กเลย สงสารเด็ก
บางคนก็มองว่า ทำไมไม่ฝึกเด็กล่ะ เดี๋ยวก็ทำอะไรไม่เป็นหรอก
บางคนก็มองว่า เด็กก็ทำได้แค่นี้ จะไปเอาอะไรมากมาย
บางคนก็มองว่า เดี๋ยวโตขึ้นก็ดีเอง อย่าไปกังวลเกินเหตุ
บางคนก็มองว่าต้องทุ่มเทฝึกกระตุ้นเด็กให้เต็มที่เท่าที่มีแรงทำ
แนวทางการดูแลเด็กพิเศษ ไม่ว่าจะไปในทิศทางใดก็ตาม ถ้าเริ่มต้นจากการดูแลด้วยความรัก แล้วค่อยๆ พัฒนาด้วยความเข้าใจ ก็จะไปสู่จุดหมายปลายทางของการทำให้เด็กมีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพที่มีอยู่ได้ไม่ยาก
การดูแลด้วยความรัก ก็คือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนมีอยู่เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่ที่นำมาเน้นย้ำ เนื่องจากในความรักที่มีอยู่นี้ มักจะถูกบดบังด้วยความเครียด ความวิตกกังวล ความเบื่อหน่าย ความท้อแท้ และความรู้สึกอื่นๆ อีกมากมายในบางช่วงเวลา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดความรู้สึกต่างๆ ขึ้นมาได้ในการดูแล แต่จำเป็นต้องหาวิธีจัดการความรู้สึกต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป
สำหรับการพัฒนาด้วยความเข้าใจ ก็เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจาก ขึ้นชื่อว่าเด็กพิเศษแล้วต้องมีกระบวนการพัฒนาที่พิเศษ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ หลักเบื้องต้นง่ายๆ ในการพัฒนา คือ
เด็กเป็นตัวตั้ง ครอบครัวเป็นตัวหาร ผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวช่วย
เด็กเป็นตัวตั้งกล่าวคือ ไม่มีสูตรสำเร็จรูปสำหรับการดูแลเด็กพิเศษทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกอายุ ควรเข้าใจธรรมชาติที่ว่า เด็กแต่ละคนมีความเหมือนกัน และมีความแตกต่างกัน เด็กอาจมีความบกพร่องในบางด้าน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความสามารถในบางด้านเช่นกัน การมองแต่ความบกพร่องบางด้าน และคอยแก้ไขความบกพร่องไปเรื่อยๆ ก็อาจถึงทางตันในที่สุด ควรหันกลับมามองในด้านความสามารถของเด็กด้วยว่าเด็กมีความสามารถด้านใดบ้าง เพื่อวางแผนการดูแล ให้การส่งเสริมความสามารถที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถช่วยชดเชยความบกพร่องที่มีอยู่ได้
ดังนั้นการดูแลต้องวางแผนให้สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กมี และสิ่งที่เด็กเป็น โดยวางแผนเฉพาะรายบุคคล ให้มีความเหมาะสมตามวัย และตามพัฒนาการของเด็ก
ครอบครัวเป็นตัวหารกล่าวคือ ครอบครัวมีบทบาทสำคัญที่สุดในการดูแลเด็กพิเศษ และคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ถ้าครอบครัวไม่ดูแล แล้วจะมีใครดูแลได้ดีกว่าอีกเล่า
แต่ในการดูแลนั้น การมีความรักอยู่เต็มเปี่ยม อาจจะไม่เพียงพอ ถ้าขาดความเข้าใจ การมีความรู้ มีเจตคติที่ถูกต้อง และมีทักษะ พัฒนาเทคนิควิธีให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่ควรมีทั้งครอบครัว ต้องเน้นคำว่า ครอบครัว เพราะว่าไม่มีใครเก่งคนเดียว ต้องให้ความไว้วางใจกัน ให้ทุกคนมีส่วนร่วม ครอบครัวเข้มแข็งคือพลังแห่งความสำเร็จ
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นบ่อย คือ มีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจนเกินไป แม่ดูแลเด็กอย่างทุ่มเท ในขณะที่พ่อพยายามทำงานหนักขึ้น เพื่อจุนเจือครอบครัว ในที่สุดก็เกิดช่องว่าง พ่อก็เริ่มไม่มีทักษะการดูแลเด็ก แม่ก็ไม่ไว้ใจให้พ่อดูแล ช่องว่างก็มากขึ้น จนเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาในที่สุด
การเริ่มต้นและพัฒนาที่ดี คือการสุมหัวเข้าหากัน คุยกัน ไว้วางใจกัน และหารความรัก ให้ทุกคนในครอบครัวมีโอกาสช่วยเหลือเด็กเท่าๆ กัน
ผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวช่วยณ วันนี้ ความก้าวหน้าทางวิชาการมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลใหม่ๆ มีเพิ่มเติมตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่คนเดียวจะรู้ทุกอย่าง มีทักษะทุกด้าน ตัวช่วยจึงมีความจำเป็น
ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วย จิตแพทย์เด็ก พยาบาล นักจิตวิทยา นักแก้ไขการพูด นักกิจกรรมบำบัด นักกายภาพบำบัด ครูการศึกษาพิเศษ หรือวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นตัวช่วยที่สามารถให้คำแนะนำ คำปรึกษา และสาธิตเทคนิควิธีต่างๆ ให้นำไปฝึกปฏิบัติต่อไปได้
แต่ต้องไม่ลืมว่า ผู้เชี่ยวชาญเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น ไม่ใช่ตัวหลักอย่างเช่นครอบครัว ฉะนั้นถ้าบทบาทผิดเพี้ยนไปจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญกลายเป็นตัวหลักขึ้นมา จะทำให้เด็กไม่สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพที่มีอยู่จริง เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เชี่ยวชาญจะรู้จัก และเข้าใจเด็กได้ดีกว่าครอบครัวที่อยู่กับเด็กตลอด
เมื่อมองจุดสุดท้ายที่เด็กพิเศษควรจะเป็น คือ พัฒนาเต็มตามศักยภาพที่เขามีอยู่ ถ้ายังไม่ถึงจุดนั้น ณ วันนี้ ก็ไม่เป็นไร เพราะวันหนึ่งต้องไปถึงแน่นอน ถ้ายังมีการดูแลด้วยความรักและพัฒนาด้วยความเข้าใจ โดยยึดหลัก
เด็กเป็นตัวตั้ง ครอบครัวเป็นตัวหาร ผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวช่วย

จุดหมายปลายทางเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง แต่ระหว่างทางที่ไปสู่จุดหมายนั้น มีสิ่งสวยงามให้ชื่นชมมากมาย พัฒนาการของเด็กพิเศษแต่ละขั้น ก็คือสิ่งสวยงามที่น่าชื่นชม การชื่นชมสิ่งสวยงามที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ คือ กำลังใจที่ดีที่สุด

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

การพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กพิเศษ

เป็นที่ทราบกันดีว่าเด็ก LD คือ เด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ ซึ่งมีอยู่ 3 ด้าน ได้แก่ ความบกพร่องด้านการอ่าน การเขียนสะกดคำ และความบกพร่องทางด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งที่พบบ่อย คือด้านการอ่าน พบว่าเด็กมีความยากลำบากในการอ่าน อ่านช้า และไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ หนังสือทั่วไปจึงไม่อาจตอบสนองการเรียนรู้ที่ดีได้ แล้วสื่อเพื่อเด็ก LD ควรจะเป็นอย่างไร และจะสามารถสร้างสังคมให้ดีได้อย่างไร
          แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. และองค์กรเครือข่าย ร่วมกันจัดงานแถลงข่าว โครงการ สื่ออ่านสร้างสุขเพื่อเด็ก LD” ประจำปี 2556 โครงการประกวดสื่อการอ่านสร้างสุขสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities: LD) ขึ้น ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 2 อาคาร ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน ศูนย์พัฒนาทุนมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
          LD (Learning Disabilities) เป็นความบกพร่องของกระบวนการเรียนรู้ที่แสดงออกมาทางด้านปัญหาการอ่าน การเขียนสะกดคำ การคำนวณ และเหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ ความบกพร่องส่วนใหญ่ที่พบในเด็ก มักเป็นเรื่องของการอ่าน เด็กมักมีความยากลำบากในการอ่าน อ่านช้า ไม่ชอบอ่านหนังสือ อีกทั้งยังมักเขียนสะกดคำง่ายๆ ผิดบ่อยๆ อาจสับสนตัวเลข หรือตัวอักษรที่คล้ายกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจัดแนวทางการเรียนการสอน โดยสร้างสื่อการสอนที่เหมาะต่อการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตนเอง ดังนั้น การจัดโครงการสื่ออ่านสร้างสุขเพื่อเด็ก LD” ครั้งที่ 2 นี้ จึงมุ่งหวังที่จะช่วยกระตุ้น และสร้างเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์สื่ออ่านที่ส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
          ภายในงานแถลงข่าว มีการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ สถานการณ์และทิศทางสื่ออ่านสำหรับเด็ก LD ในบ้านเราโดยได้รับเกียรติจาก พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกับมีการเสวนาในหัวข้อ สื่ออ่านเพื่อเด็ก LD สร้างสังคมดีได้อย่างไร?” โดย พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กล่าวถึงการสร้างสรรค์สื่ออ่านสำหรับเด็ก LD ว่าสำหรับการสร้างสรรค์หนังสือสำหรับเด็ก LD ต้องมีความเข้าใจธรรมชาติของเด็ก และมีความเข้าใจภาวะของเด็ก LD ซึ่งการสร้างสรรค์หนังสือสำหรับเด็ก LD มีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยพัฒนาเด็ก ซึ่งผู้ที่สร้างสรรค์หนังสือต้องคำนึงถึงเนื้อหาสาระที่ควรให้เด็กเข้าถึงง่าย มีรูปลักษณ์ของตัวหนังสือ ที่มีความดึงดูด น่าสนใจ เช่น มีภาพนูนสูง มีช่องให้วาดรูป ระบายสี และมีการลากเส้นประ เป็นต้น รวมทั้งมีบรรยากาศของการเรียนรู้ที่เหมาะสม จึงจะมีส่วนอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเด็ก LD ได้
          นอกจากนี้ มีตัวแทนคุณแม่ที่มีประสบการณ์ดูแลลูกที่เป็นเด็ก LD คุณณัฐวรรณ กิติเวช ที่มาบอกเล่าว่า ลูกมีปัญหาเรื่องการอ่าน มีแสงสะท้อนคาดบนตัวหนังสือ ทำให้ปวดหัว อ่านได้ลำบาก กะระยะช่องไฟไม่ได้ ทำให้เขียนได้ช้า แยกพยัญชนะบางตัวไม่ออก ความจำระยะสั้นไม่ค่อยดี ทำงานได้หน้าลืมหลัง แต่ลูกก็มีพรสวรรค์ด้านศิลปะ ดนตรี งานประดิษฐ์ จึงให้ลูกได้ทำงานที่ชอบ สร้างความภาคภูมิใจ ต่อยอดเป็นงานจิตอาสารู้จักให้คนอื่น ให้ลูกอ่านหนังสือที่สนใจ ตอนเล็กจะอ่านให้ลูกฟัง เล่นเกมถามตอบตัวละครในหนังสือ ได้มีจินตนาการ มีสมาธิในการฟัง รู้จักการวิเคราะห์เรื่องราว ช่วงที่ฝึกลูกอ่านจะสลับกันอ่าน เล่นเกม วาดรูป หนังสือที่ลูกชอบ คือ หนังสือของครุสภา เป็นธรรมชาติความรู้รอบตัว เนื้อหาสั้นกระชับ ทำให้มีกำลังใจที่จะอ่านได้จบ ถ้ามีลูกเป็นเด็ก LD แม้ว่ามีปัญหาการอ่าน แต่เด็กล้วนมีข้อเด่น มีพรสวรรค์ที่น่าสนใจ ขอแค่มีความเข้าใจ มีคำพูดที่สร้างสรรค์ให้กำลังใจ โอกาสเด็กได้ใช้ความพยายามในการเรียนรู้ อาจเป็นวิธีที่แตกต่างจากคนอื่น แต่ในสุดท้ายเด็กก็สามารถสร้างผลงานที่น่าอัศจรรย์ได้
          สำหรับ คุณสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านกล่าวว่าการช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ หากพ่อแม่ ตลอดจนครูผู้สอนมีความรู้ ความเข้าใจ จะทำให้สามารถช่วยเหลือนักเรียนได้ และยิ่งได้ผลเร็วขึ้นโดยเฉพาะเด็กที่ได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสม และมีสื่อที่ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาที่เข้าถึงได้ จึงเป็นที่มาที่ไปของการจัดประกวดในครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านการเรียนเรียนรู้ให้อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข
          แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านและองค์กรเครือข่าย ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี , สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ , ศูนย์วิจัยการศึกษาเพื่อเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา , กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย , สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร และ นิตยสาร Mother&Care ร่วมกันจัดโครงการประกวด สื่ออ่านสร้างสุขเพื่อเด็ก LD” เพื่อกระตุ้นและสร้างเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์หนังสือที่ส่งเสริมพัฒนาการตามวัย และคุณลักษณะอันพึงประสงค์สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นให้เด็กได้ใช้การอ่านไปสู่การสร้างสุขในชีวิต และนำศักยภาพที่สำคัญของการอ่านสร้างความสุขเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ในโรงเรียนต่อไป
สื่อการเรียนการสอนเพื่อเด็ก LD
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ของครูผู้สอนเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ จากการศึกษาคู่มือครูการสร้างแบบฝึกการเขียนสะกดคำ สำหรับเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ และเพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการเขียนสะกดคำของเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นครูผู้สอนเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่อง ทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต ๓ ที่มีเด็กพิเศษเรียนร่วมในชั้นเรียน จำนวน ๑๗๘ คน และเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ที่เรียนร่วมกับเด็กปกติ ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต ๓ จำนวน ๕๖๒ คนผลการศึกษาพบว่าเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูผู้สอนเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ และแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการเขียนสะกดคำของเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
. พฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูผู้สอนเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โดยใช้คู่มือครู การสร้างแบบฝึกการเขียนสะกดคำสำหรับเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จากพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน ๑๕ ข้อ ทุกข้อปฏิบัติได้ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะพฤติกรรมการสร้างแบบฝึกการเขียนสะกดคำ พฤติกรรมมีการตรวจสอบความก้าวหน้าด้านการเขียนของนักเรียนและมีการขยายเครือข่ายสร้างความรู้กับครู บุคลากรในโรงเรียน ด้านการสอนเด็กพิเศษเรียนร่วม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด
. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการเขียนสะกดคำของเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ พฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กพิเศษเรียนร่วม จำนวน ๑๕ ข้อ ทุกข้อปฏิบัติได้ในระดับมากที่สุด โดยพฤติกรรมการเขียนสะกดคำได้ตรงตามเส้นบรรทัดที่กำหนด มีค่าเฉลี่ยสูงสุด
. การจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กพิเศษเรียนร่วม ประเภทบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ครูผู้สอนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียน เช่น ต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตร จัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) สร้างสื่อการเรียนรู้และแบบฝึกการเขียนสะกดคำที่หลากหลาย
. แบบฝึกการเขียนสะกดคำ เป็นสื่อการเรียนรู้ที่สร้างแรงจูงใจให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการทำแบบฝึก โดยครูจะต้องตรวจสอบความก้าวหน้าการเขียนของนักเรียน อยู่สม่ำเสมอ และให้นักเรียนนำแบบฝึกไปฝึกทำเป็นการบ้าน จะทำให้นักเรียนมีความมั่นใจในการเขียนมากขึ้น และผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ด้านการเขียนสะกดคำมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น